04 September 2014


"One man can be a crucial ingredient on a team, but one man cannot make a team."
 ~Kareem Abdul-Jabbar~

เราอาจไม่มีทางเลือกที่จะต้องรับคนรุ่นใหม่นี้เข้ามาร่วมงานด้วย แนวทางในการตั้งรับพวกเขาในมุมเหล่านี้อาจช่วยคุณได้
Gen-Y (เจ็นวาย) หรือ Y-Generation ที่หมายถึงคนรุ่นใหม่ที่อายุยังไม่เกิน 25 ปีในสมัยนี้ มักถูกพูดถึงจากผู้ที่เคยทำงานด้วยว่าเป็นกลุ่มที่ทำงานด้วยได้ยากเหลือเกิน เนื่องจากลักษณะนิสัยเฉพาะกลุ่มที่พร้อมแสดงความคิดเห็นเสมอ และมีความมั่นใจในตัวเองสูงโดยที่ไม่สนใจกับคำวิจารณ์รอบๆ ตัวแม้ว่าเรื่องนั้นอาจกลายเป็นปัญหาขึ้นมาได้ก็ตาม แถมยังถูกจัดว่าเป็นกลุ่มคนที่มีความภักดีต่อองค์กรค่อนข้างน้อย เปลี่ยนงานบ่อยที่สุดอีกด้วย
แต่ด้วยพลังทางความคิดอันเต็มเปี่ยม มุมความคิดสร้างสรรค์ พร้อมด้วยไฟในการทำงานที่ลุกโชนได้ง่ายๆ ก็ทำให้ยากจะมองข้ามคนในยุค Gen-Y ไปได้เฉยๆ เหมือนกันและเพราะสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป ถ้าเราอาจไม่มีทางเลือกที่จะต้องรับคนรุ่นใหม่นี้เข้ามาร่วมงานด้วย แนวทางในการตั้งรับพวกเขาในมุมเหล่านี้อาจช่วยคุณได้
gen y can be so confused, sometimes

เด็กรุ่นใหม่กลุ่มนี้ล้วนออกจากมหาวิทยาลัยมาพร้อมความมั่นใจที่เต็มเปี่ยมว่าพร้อมเสมอสำหรับงานใหม่ๆ ทุกอย่างที่ท้าทายตลอดเวลา แต่แม้ว่าจะมั่นใจสักแค่ไหน ถ้าเด็ก Gen-Y ทำอะไรไม่สำเร็จนั้นก็มักจะรู้สึกผิดหวังมากๆ อยู่บ่อยครั้ง นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมการตั้งความคาดหวังที่ไม่ชัดเจนหรือตั้งเป้าหมายที่ไม่มีทิศทางที่แน่ชัดให้ก็ยิ่งเป็นการทำร้ายพวกเขาทางอ้อมไปในตัว เพราะพวกเขามีความสุขกับการทำให้สิ่งต่างๆ บรรลุเป้าหมายได้อยู่เสมอเพื่อให้เป็นบันได้ก้าวไปสู่ความสำเร็จในอนาคตข้างหน้า แต่พวกเขาจะรู้สึกเหมือนเป็นแค่หนูถีบจักรที่วิ่งวนอยู่กับที่ในวงล้อถ้าหากทำอะไรก็ดูเหมือนไม่สำเร็จสักอย่างเลย
ไม่สำคัญว่าเป้าหมายจะเล็กหรือใหญ่ หากขั้นตอนนั้นได้รับการวางแผนไว้ในใจของเราเสร็จสรรพ และรู้ผลเป้าหมายปลายทางที่อยากได้แล้วละก็ ลองมอบใส่มือพวกเขาให้ลองจัดการมาให้สำเร็จได้เลย

การวางตัวกับผู้ร่วมงาน Gen-Y จึงเป็นเรื่องสำคัญ
โดยปกติแล้วเด็ก Gen-Y มักจะมีมุมมองว่างานของพวกเขาเหมือนกับเส้นทางของการศึกษาต่อหลังจบมหาวิทยาลัย ในช่วงแรกๆ พวกเขาจะกระหายใคร่เรียนรู้อะไรก็ตามที่อาจนำไปต่อยอดเป็นงานได้จริงๆ พวกเขาจึงพอใจกับการถูกเทรนงานใหม่ๆ เสมอๆ นั่นหมายความว่าในฐานะหัวหน้าทีม เราอาจต้องขุดความสามารถในการวางตัวเป็นพี่เลี้ยงที่ดีและพร้อมให้คำปรึกษาในหลายๆ เรื่องออกมาเตรียมให้พร้อมรอรับมือกันเลยทีเดียว ไม่เช่นนั้นมุมมองของเด็กๆ จะค่อยๆ เปลี่ยนไป ความไม่เชื่อถือและไม่ไว้ใจว่าเราจะให้ความรู้อะไรกับพวกเขาได้จริงๆ จะค่อยๆ เข้ามาแทนที่ นำไปสู่การไม่เชื่อฟังและไม่สนใจต่อคำสั่งที่ตามๆ มาในอนาคต ดังนั้นการวางตัวกับผู้ร่วมงาน Gen-Y จึงเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการรับฟัง ตั้งคำถามกลับไป การพูดอธิบาย หรือแม้กระทั่งการประเมินผลให้กับพวกเขา ล้วนแล้วแต่มีผลต่อพฤติกรรมและมีส่วนทั้งสร้างแรงผลักดันหรือบั่นทอนกำลังใจพวกเขาแทบทั้งสิ้น

เพื่อนร่วมงานหรือคนในทีมคือกุญแจสำคัญที่มีผลในการสร้างแรงผลักดันและในการตัดสินใจอยู่ทำงานต่อของคน Gen-Y เป็นอย่างมาก
เราอาจต้องยอมรับความจริงว่ามีเปอร์เซ็นต์น้อยมากๆ ที่เด็ก Gen-Y หวังจะทำงานในบริษัทเดียวตลอดไป
เมื่อดูตามลักษณะนิสัยแล้วจะพบคนกลุ่มนี้มักจะให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนๆ ในทีมมากกว่าในบริษัทเสียอีก นั่นเป็นเพราะความต้องการที่อยากให้สังคมยอมรับและเห็นว่าสังคมเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญอย่างยิ่งในการดำเนินชีวิต และพวกเขายังคงอยู่ในวัยที่ศรัทธารูปแบบพลังมวลชนและการก้าวไปข้างหน้าพร้อมๆ กัน เหมือนกับที่ถูกปลุกเร้าให้รู้สึกเวลาพูดถึงสถาบันหรือคณะที่เรียน เป็นต้นการพยายามออกแบบงานในรูปแบบกลุ่มซึ่งทำให้มีเหตุให้ต้องทำกิจกรรมร่วมกับคนอื่นในทีมอยู่บ่อยๆ จึงล้วนแล้วแต่ทำให้คนเหล่านี้รู้สึกสนุกกับการทำงานได้มากขึ้น เป็นสิ่งที่ควรทำ

อาจเป็นเรื่องยากที่จะรักษาเด็ก Gen-Y เอาไว้ เพราะด้วยลักษณะนิสัยที่ทะเยอทะยานต้องการที่จะเติบโตทำให้พวกเขาชอบเปลี่ยนงานอยู่บ่อยๆ การคอยช่วยบอกเส้นทางอาชีพของพวกเขาในองค์กรหรือบอกโอกาสที่จะเติบโต รวมถึงเข้าใจความสนใจของพวกเขาว่าอยากทำงานลักษณะไหนเป็นพิเศษ เป็นอีกวิธีที่จะซื้อใจพวกเขาได้ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าเราไม่สามารถหยิบยื่นโอกาสเหล่านี้ให้กับพวกเขาได้ ก็อย่าพยายามที่จะฉุดรั้งพวกเขาไม่ให้ไปหางานใหม่ที่ดีกว่า เพราะนั่นสร้างความเห็นด้านลบในใจพวกเขามากกว่าจะให้ผลดี
เราอาจต้องยอมรับความจริงว่ามีเปอร์เซ็นต์น้อยมากๆ ที่เด็ก Gen-Y หวังที่จะใช้ชีวิตวัยทำงานในบริษัทเดียวตลอดไป การค้นหาหนทางดีกว่าอยู่เรื่อยเป็นเรื่องปกติที่พวกเขามักจะทำกัน ซึ่งหากเราซื้อใจพวกเขาได้จนพวกเขารู้สึกว่าเรานี่ล่ะที่เป็นหุ้นส่วนในสายงานที่แท้จริง สักวันหนึ่งเขาอาจจะกลับมาพร้อมความช่วยเหลือที่จะมอบให้กับเราอีกครั้งก็เป็นได้
• • •
แน่นอนว่าเงินเป็นส่วนหนึ่งของแรงจูงใจในการทำงานของ Gen-Y แต่เงินเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะซื้อใจให้คนกลุ่มนี้ทำงานกับเราไปได้ตลอด
และแม้จะดูว่าเด็กเหล่านี้น่าจะรับมือยาก แต่ถ้าเราเข้าใจและให้สิ่งที่ตรงกับความต้องการได้ หรือเราอาจจะพูดว่าหากซื้อใจกันได้ นั่นจะเป็นกุญแจดอกสำคัญจะทำให้เด็กเหล่านี้ค่อยๆ เปิดใจเตรียมพร้อมรับการเติบโตและเรียนรู้สิ่งที่ยากขึ้นได้ในภายหลัง ดังนั้นการได้รู้จักลักษณะนิสัยเหล่านี้ไว้ก่อนพอเป็นแนวทางจึงน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการรับมือให้ได้ดียิ่งขึ้นแน่นอน

Credit : INC Quity
Photo were selectively used with cc concerned from http://lovekokkhuan.blogspot.com





02 September 2014


Original version by " Evanescence "







My Immortal" is a song by American rock band Evanescence from their debut studio album Fallen (2003). It was released by Wind-up Records on December 8, 2003 as the third single from the album. The song was entirely written by guitarist Ben Moody, with the exception of the bridge, which was later written by lead singer Amy Lee, and it was produced by Dave Fortman. "My Immortal" was included on their EP release Mystary (2003) and on the demo album Origin (2000). The version originally from Origin was later included on Fallen. The single version of the song was called "band version" because of the additional band performing the bridge and final chorus of the song.


is a piano rock song written in slow and free tempo. Moody was rumored to have been inspired to write it after the death of his grandfather. Lyrically, it talks about "a spirit staying with you after its death and haunting you until you actually wish that the spirit were gone because it won't leave you alone."[1] Critical reception towards the song was positive, with critics complimenting its piano melody. In 2005 it received a nomination for Best Pop Performance by a Duo or Group with Vocals at the 47th Grammy Awards. The song was also commercially successful, peaking within the top ten in more than ten countries. It also peaked at number seven on the US Billboard Hot 100 and topped the charts in Canada, Greece and the US Adult Pop Songs chart. The single was certified gold in the US, and platinum in Australia.

An accompanying music video directed by David Mould was filmed entirely in black-and-white in Gothic Quarter, Barcelona on October 10, 2003. The video shows Lee sitting and singing on various locations, but never touching the ground. Shots of Moody are also shown but he is never together with his band or Lee. The video was nominated in the category for Best Rock Video at the 2004 MTV Video Music Awards. The song was performed by the band during their Fallen Tour and The Open Door Tour. It was also performed live during some of their television appearances and award ceremonies such as the Billboard Music Awards.



Lindsey's Exclusive Deluxe  Album featuring 
"My Immortal" 



Original Version by "Evanescence"






01 September 2014

ในที่สุด เมื่อทำอะไรไม่ได้  ทรุดกายลงนั่งอยู่ตรงนั้น  มองรอบกายด้วยใจนิ่ง  หายใจเข้าออกอย่างเป็นปกติ

ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ มองทางออก  ตอนนี้ยังไม่รู้จะลุกไปทางไหน  แต่ ฉันก็ไม่ร้อนรน ไม่ไขว่คว้าจนรู้สึกเหนื่อย ..  ฉันกำลังสร้าง กำลังใจเล็ก ๆ ในมุมมืดที่ยังหาทางไม่เจอ...  และสักวัน กำลังใจฉันจะต้องเติบใหญ่ ด้วยมีความอดทนช่วยหล่อเลี้ยง...

ความอดทนและกำลังใจ เล็ก ๆ จากตัวเอง...


การปล่อยให้ตัวเองได้อ่อนแอบ้าง  ไม่จำเป็นต้องเข้มแข็งตลอดเวลา  บางครั้งเวลาเรารั้งความเข้มแข็งเอาไว้  ความอ่อนแอมันจะมีกำลังแข็งแกร่ง  และทำร้ายเราได้ง่ายขึ้น


ในวันที่เราอ่อนแอ ยอมรับเถิดว่าเราอ่อนแอ  ไม่ต้องดันทุรังบอกว่า ตัวเองยังไหวอยู่  ในวันที่เรารู้สึกแพ้ ยอมรับเถิดว่าเราไม่ชนะ  ไม่ต้องหลอกตัวเอง เพื่อที่จะได้เป็นคนเข้มแข็ง  ความอ่อนแอไม่ได้น่ารังเกียจแต่อย่างใด


ถ้าเราทำดีที่สุดแล้ว  ก็หมายความว่า เราได้ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าแล้ว  ถ้าเราทำดีที่สุดแล้ว  ก็ไม่เห็นต้องเสียดายเวลาเลย  ถ้าเราทำดีที่สุดแล้ว  จะแพ้หรือชนะก็ไม่ใช่ความหมายใหญ่โตอะไร


ประเด็นคือ...เราเคยยอมรับบ้างไหม  ว่าเราก็เคยอ่อนแอ

โดย พระอาจารย์เผด็จ  ธรรมะ Delivery


ขอเกริ่นนำ ถึง Emotion มีความหมายว่า การเกิดการเคลื่อนไหว หรือภาวะที่ตื่นเต้น มันเป็นการยากที่จะบอกว่า อารมณ์คืออะไร แต่มีแนวคิดหนึ่ง ที่ให้ความเข้าใจได้ง่ายกล่าวไว้ว่า อารมณ์เป็นความรู้สึกภายในที่เร้า ให้บุคคลกระทำ หรือเปลี่ยนแปลงภายในตัว ของเขาเอง ซึ่งความรู้สึก เหล่านี้จะเป็นความรู้สึกที่พึงพอใจ ไม่พึงพอใจ หรือรวมกันทั้งสองกรณี อารมณ์เป็นสิ่งที่ไม่คงที่มีการแปรเปลี่ยน อยู่ตลอดเวลา

การใช้อารมณ์ เป็นผลเสียต่อตัวเอง ผู้ที่มีลักษณะที่จะล้มเหลว และมีแต่ความทุกข์ใจคือผู้ที่ยึดตัวเองเป็นหลัก ไม่ยอมรับฟังผู้อื่น การใช้อารมณ์ มาตัดสินคนอื่น 

ผู้ที่ยึดตัวเองเป็นหลัก คือผู้ที่หมดโอกาสเรียนรู้โดยแท้จริงแม้ใจอยากได้แต่สิ่งดีๆ แต่สิ่งดีๆก็เข้าไม่ถึงใจ
เพราะความกลัว ใจจึง ปิด ความคิด จึงไม่ก้าว” จมปลัก อคติ

ตรงกันข้าม 

“ผู้ที่มีลักษณะที่จะประสบความสำเร็จ และพบความสุขคือผู้ที่กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองผู้ที่กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองคือผู้ที่กล้าหาญที่จะรับฟังคำติมากกว่าคำชม คือ กล้า... ทั้งคนพวกนี้ยังจะมีความสุขในการใช้ชีวิตในสังคมอีกด้วย


Emotion (ตัดสินคนอื่น)

เราควรหลีกเลี่ยงการคิดแทนคนอื่น ไม่ว่าเราจะจริงใจอย่างไร เราก็ไม่ควรไปแนะนำคนอื่นให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้หากเขาไม่ร้องขอ เพราะความหวังดี จริงใจของเรามีไว้เพื่อช่วยเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อชี้นำใคร ต้องระวังตัวเองให้ดีสำหรับเส้นขีดระหว่างความหวังดีกับการก้าวล่วงความคิดคนอื่น

อีกเรื่องคือการตัดสินผู้อื่น ไม่ว่าเราจะจริงใจ หวังดีแค่ไหน การกระทำความคิดใดๆของคนอื่น ก็เป็นสิทธิส่วนตัวของคนนั้น เหตุผล ความคิด ความหวังดีของเรา ไม่ว่าจะจริงใจแค่ไหนก็ไม่มีทางจะถูกต้องตรงกับผู้อื่น ไม่ว่าเราจะคิดว่าเรื่องนั้นดีหรือไม่ดี ก็เป็นเพียงมุมมองของเรา ซึ่งเราเองก็คงไม่อยากให้ใครมาตัดสินการกระทำ ความคิดของเราเช่นกัน




กรณีบางกรณี อาจจะเตือนสติเราได้ไม่มากก็น้อย เช่น : 

"เด็กชายเอ (นามสมมติ) ตั้งใจเรียน แต่ขาดเรียนเป็นประจำ หรือบางวันก็หายไปจากโรงเรียนตอนประมาณ 11.00 น. แล้วกลับมาอีกครั้งตอนบ่ายสอง ครูลงโทษที่เด็กชายเอ โดดเรียนด้วยการตี เพราะคิดว่าเด็กชายเอไม่ตั้งใจเรียน เพื่อนคนหนึ่งเห็นแอบไปเห็นเด็กชายเอที่หลังวัด ก็เก้บเอามาเล่าให้เพื่อนและครูฟังว่า "สงสัยเด็กชายเอ ต้องติดกาวแน่เลย ที่หายไปเพราะมัวแต่ไปแอบดมกาวอยู่"  แต่จะมีใครรู้บ้างว่า พ่อทิ้งเขาไป แม่เป็นอัมพาต ไม่เคยได้ทานอาหารเช้า เขาต้องรีบมาวัดเพื่อจะได้เก็บข้าวก้นบาตรหลังพระฉันเพลไม่งั้นแม่ครัวอาจจะเทอาหารที่เหลือให้สุนัขและแมว ไม่อยากให้ใครเห็นว่าหนีเรียนมา ห่อข้าวก้นบาตรได้แล้ว ก็รีบออกไปหาที่นั่งใต้ต้นไม้ทานหลังวัด และแบ่งไว้ให้แม่ได้ทานด้วย  เพราะครูสงสัย ครูจึงตามไปดู และพบกับความจริงของชีวิตเด็กชายเอ ก็เลยเกิดเป็นเรื่องวัลลี ..2 ..3 ..4 ...5 เด็กกตัญญู ในสื่อต่างๆมากมาย

ยังไม่ได้รับฟังเรื่องราวทั้งหมด ก็อย่าเพิ่งไปด่วนสรุปว่าเป็นอย่างไร หรือตัดสิน ดี-ชั่ว งาม-ไม่งาม เพราะภาพที่เห็น อาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดเสมอไป



ดังนั้น...

การตัดสินที่แย่ที่สุด คือ การตัดสินคนอื่นด้วยความรู้สึกของตัวเอง อย่าเก็บ "คำวิจารณ์" ของคนอื่นมาใส่ใจ เพราะมาตรฐานแต่ละคน แตกต่างกัน การที่จะทำให้ทุกคนพึงพอใจ มัน คือ ความพยายามที่ "เป็นไปไม่ได้"