19 August 2014


การที่เราจะคบหา หรือรู้จักใครสักคน ไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็ตาม

สิ่งหนึ่งที่ควรท่อง ควรจำไว้อยู่เสมอก็คือ "คน" เป็นสิ่งมีชีวิต ที่มีทั้งด้านบวกและด้านลบ อยู่ในนั้น

อย่าตั้งใจกับคน 1 คนมากเกินไป
เพราะไม่มีใครอยากเป็นต้นเหตุของความล้มเหลว

อย่าคาดหวังกับ คน 1 คนมากเกินไป
เพราะไม่มีใครสามารถเป็นทุกอย่าง ที่ทุกคนอยากให้เป็น

อย่าให้เวลากับคน 1 คนมากเกินไป
เพราะไม่ว่าใครก็อยากมีช่วงเวลาของความเป็นส่วนตัว. . . คนเดียว ....

อย่าพยายามเปลี่ยนแปลงคน 1 คนมากเกินไป
เพราะนั่นจะทำให้เค้าไม่หลงเหลือความเป็นตัวของตัวเอง

อย่าควบคุมชีวิตคน 1 คนมากเกินไป
เพราะมนุษย์มักจะหาวิธีการแทรกตัว เพื่อออกมาจากกฎที่ถูกกำหนด

อย่าบีบบังคับคน 1 คนมากไปกว่านี้
เพราะถ้าคนๆนั้น หลุดจากภาวะบีบบังคับมาได้ คุณจะกลายเป็นคนที่ถูกหันหลังให้ในทันที

เธอ... ลองมองดูฉันดีๆ ฉันมีลมหายใจ ไม่ใช่ภาพวาด ที่จะสวยงามอยู่ตลอดเวลา ฉันเองก็เป็น " คน" เป็นสิ่งมีชีวิตที่มี 2 ด้าน... เช่นกัน

...อยากรู้จักใครสักคน ต้องหัดเรียนรู้ ไม่ใช่เปลี่ยนแปลง...

10 August 2014

“จิตสำนึกผิดชอบก็เหมือนดินสอ ที่ต้องเหลาให้แหลมคมอยู่เสมอ” 
“อย่าโยนความผิดให้คนอื่น  แต่จงรับผิดชอบชีวิตของตนในทุก ๆ ด้าน”


จิตสำนึก( ความรับผิดชอบส่วนตัว ) Personal accountability 

“In the long run, we shape our lives, and we shape ourselves. The process never ends until we die. And the choices we make are ultimately our own responsibility.” 

― Eleanor Roosevelt

คำนี้ไม่ได้แปลว่าความรับผิดชอบที่เกิดจากการได้รับมอบหมายหน้าที่เท่านั้น แต่ยังหมายถึงความรับผิดชอบอันเกิดจากจิตสำนึกทางด้านศีลธรรม, จริยธรรม, และ พรหมวิหารธรรมอีกด้วย.

พรหมวิหารธรรม  คือ ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของผู้ใหญ่ มี  4 อย่าง
                   1.  เมตตา    ปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข
                   2.  กรุณา     ความสงสารคิดจะช่วยให้พ้นทุกข์
                   3.  มุทิตา     พลอยยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี
                   4.  อุเบกขา   ความวางเฉย  ไม่ดีใจ  ไม่เสียใจ  เมื่อผู้อื่นถึงความวิบัติ

คำว่า  พรหม  คือ ผู้ประเสริฐ  เข้าใจกันส่วนมาก  พรหมมีวิมานอยู่ส่วนหนึ่งต่างหากจากพวกเทพ  ไม่มีคู่ครองเหมือนพวกเทพ  อยู่เดียว  พวกพราหมณ์ถือว่าเป็นต้นวงศ์ของพวกเขา  ทางพุทธศาสนาก็มีเกี่ยวเรื่องพรหมอยู่หลายที่  ผู้บำเพ็ญตนได้ฌานสมาบัติก็ว่าตายไปเป็นพรหม  ส่วนใหญ่พระพุทธเจ้ามุ่งให้ทุกคนประพฤติธรรมที่จะทำให้เป็นพรหมมากกว่า

คำว่า  วิหารธรรม  คือ  ธรรมเป็นเครื่องอยู่  หมายถึง  เอาใจเข้าหาธรรมะ  หรือเอาธรรมะเข้ามาไว้ที่ใจพูดง่ายๆ ก็คือ  ทั้งเนื้อทั้งตัวมีธรรมะ เมื่อนำคำทั้งสองมารวมเข้ากันเป็น

พรหมวิหารธรรม  หมายถึง  ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของผู้ใหญ่  มีธรรมเป็นเครื่องอยู่อย่างประเสริฐ  ผู้มีคุณธรรม  4 ข้อดังกล่าวมานี้  จะอยู่ในวัยไหนก็ตาม  เรียกว่าผู้ใหญ่ทั้งนั้น  โลกจะร่มเย็นดับยุคเข็ญได้ จะเว้นธรรมเหล่านี้เสียมิได้

สรรพสัตย์ทั้งหลายในโลกย่อมมีทั้งดีและไม่ดีคละเคล้าปะปนกันไป !!

"หลักธรรม"คำสอนของ"พระพุทธองค์"นั้นได้ชื่อว่าเป็นคำสอนอันประเสริฐสุด แล้วแต่ผู้ไดที่จะได้รับอานิสงค์ของการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบได้นั้นไม่ใช่ว่าใครๆก็จะได้รับไปทั้งหมดและสามารถทำได้ทั้งหมด

อยู่ที่"บุคคล"นั้นจะสามารถมี"ดวงตาเห็นธรรม"จริงแท้แค่ไหนต่างหากและจะสามารถนำคำสอนนั้นมาประพฤติ-ปฏิบัติได้ครบถ้วนไม่ตกหล่นทำอยู่เป็นอาจินต์เช่นนี้ได้ บุคคลนั้นก็จะเป็นผู้ที่รู้แจ้งเห็นจริงและพบหนทางเห็นการพ้นทุกข์ได้และถือว่าเป็น"คนดี"ในสังคมได้

สุดท้าย..สังคมจะดีได้ต้องอยู่ที่คนในสังคมนั้นต้องมี"คนดี"มากกว่า"คนไม่ดี"แล้วคนดีก็จะเป็น"ผู้นำ"พาสังคมนั้นไปสู่หนทางแห่งความสุข



By : Nuch-Cha Natnapatch


07 August 2014


One and Only - Adele





You've been on my mind
คุณอยู่ในใจของฉัน
I grow fonder every day
ความรักความลุ่มหลงมันเกิดขึ้นทุกวันเลย
Lose myself in time
สูญเสียความเป็นตัวเองเลยล่ะในเวลานั้น
Just thinking of your face
เพียงแค่คิดถึงหน้าของคุณ
God only knows why it's taken me so long to let my doubts go
พระเจ้ารู้แค่ว่าทำไมถึงปล่อยให้มันยาวนานเพียงเพราะต้องการให้ข้อสงสัยของฉันหายไป
You're the only one that I want
สิ่งที่ฉันต้องการคือคุณเท่านั้น

I don't know why I'm scared
ฉันไม่รู้ว่าทำไมฉันต้องกลัวด้วย
I've been here before
ฉันไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อนเลย
Every feeling, every word
ทุกๆความรู้สึก ทุกๆคำ
I've imagined it all
ฉันคิดขึ้นมาทั้งหมด
You'll never know if you never try
คุณจะไม่รู้เลยถ้าคุณไม่ได้พยายามทำ
To forget your past and simply be mine
ลืมเรื่องราวในอดีตและคุณก็เป็นของฉัน

I dare you to let me be your, your one and only
ฉันกล้าที่จะให้ฉันเป็นของคุณ ของคุณคนเดียว ของคุณเท่านั้น
Promise I'm worth it
สัญญาสิ มันคุ้มค่ามากเลยนะ
To hold in your arms
โอบกอดฉันไว้
So come on and give me a chance
เข้ามาแล้วก็ให้โอกาสกับฉันนะ
To prove I am the one who can walk that mile
เพื่อพิสูจน์ว่าฉันสามารถเดินเป็นกิโลๆได้เลยล่ะ
Until the end starts
จนกระทั่งมันจบลง

If I've been on your mind
ถ้าฉันอยู่ในใจของคุณ
You hang on every word I say
คุณติดอยู่กับทุกๆคำ ฉันพูด
Lose yourself in time
คุณสูญเสียความเป็นตัวเองในวินาทีนั้นเลยล่ะ
At the mention of my name
ตอนที่กล่าวถึงชื่อฉันน่ะ
Will I ever know how it feels to hold you close
ฉันเคยรู้สึกแบบนี้เมื่อใกล้ชิดกับคุณ
And have you tell me whichever road I choose, you'll go?
และอยู่บนถนนที่คุณบอกให้ฉันเลือก คุณก็จะไป

I don't know why I'm scared
ฉันไม่รู้ทำฉันกลัว
'Cause I've been here before
เพราะฉันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนน่ะสิ
Every feeling, every word
ทุกความรู้สึก ทุกคำพูด
I've imagined it all
ฉันคิดขึ้นมาทั้งหมด
You'll never know if you never try
คุณจะไม่รู้เลยถ้าคุณไม่ได้พยายามทำ
To forget your past and simply be mine
ลืมเรื่องราวในอดีตที่ผ่านแล้วคุณก็เป็นของฉัน

I dare you to let me be your, your one and only
ฉันกล้าที่จะเป็นของคุณ ของคุณคนเดียว ของคุณเท่านั้น
I promise I'm worth it, mmm,
สัญญานะ ไม่คุ้มค่ามากๆ
To hold in your arms
โอบกอดฉันไว้
So come on and give me a chance
ให้โอกาสกับฉัน
To prove I am the one who can walk that mile
เพื่อพิสูจน์ว่าฉันสามารถเดินไปเป็นกิโลๆได้เลย
Until the end starts
จนกระทั่งมันจบลง

I know it ain't easy giving up your heart
ฉันรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่คุณจะยอมให้จับจองหัวใจ
I know it ain't easy giving up your heart
ฉันรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่คุณยอมให้จับจองหัวใจ
Nobody's pefect
ไม่มีใครเพอร์เฟคต์ขนาดนั้น
(I know it ain't easy giving up your heart),
Trust me I've learned it
ไว้ใจฉันให้ฉันได้เรียนรู้มัน
Nobody's pefect
ถึงจะไม่มีใครเพอร์เฟคต์ขนาดนั้น
(I know it ain't easy giving up your heart),
Trust me I've learned it
แต่ ไว้ใจให้ฉันได้เรียนรู้
Nobody's pefect
ไม่มีใครสมบูรณ์แบบหรอกนะ
(I know it ain't easy giving up your heart),
Trust me I've learned it
Nobody's pefect,
(I know it ain't easy giving up your heart),
Trust me I've learned it
ไว้ใจฉันให้ฉันได้เรียนรู้มัน หัวใจ

So I dare you to let me be your, your one and only
I promise I'm worth it,
To hold in your arms,
So come on and give me a chance,
To prove I am the one who can walk that mile,
Until the end starts,

Come on and give me a chance,
To prove I am the one who can walk that mile,
Until the end starts.

=========

...อ้างอิง http://sz4m.com/b2330462

04 August 2014

แล้ววันนึงของเราจะมาถึง..


จะพยายาม
จะเชื่อมั่น
จะไม่มีวันยอมแพ้




Nu-Cha Natnapatch

01 August 2014

ไปเจอเนื้อหาส่วนนึงในเวปผู้จัดการ ...ประทับใจมาก ขอนำมาให้เพื่อนๆลองอ่านดู ความเห็นแก่ตัวของมนุษย์..สะท้อนภาพในภาวะปัจจุบัน ( สะท้อนเรื่องทั่วไป ไม่ขออิงการเมือง)


มีชายคนหนึ่งเข้าเฝ้าพระเจ้า และถามพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า สวรรค์กับนรกนั้น ต่างกันอย่างไร ?” พระเจ้าตรัสตอบว่า “ตามเรามาดูกัน”
       
       เขาก็ไปเห็นห้องๆหนึ่ง ที่เป็น “นรก” ภายในห้องมีหม้อสตูเนื้อหอมฉุยน่ารับประทาน และมีชาวนรกมากมาย แต่ละคนหิวโหย หมองเศร้า ขาดความสามัคคีกัน ไม่รักกัน ทะเลาะกัน เขาก็นึกสงสาร และเมื่อเขาสังเกต ก็เห็นว่า สาเหตุก็คือ ชาวนรกแต่ละคนจะมี “ช้อน” สำหรับตักสตู แต่ช้อนของชาวนรกนั้น ยาวกว่าแขน ทำให้ตักสตูเข้าปากไม่ได้ จึงหิวโหย
       
       และเขาก็ได้ไปเห็นอีกห้องหนึ่ง ที่เป็น “สวรรค์” ภายในห้องก็มีหม้อสตูเนื้อหอมฉุยน่ารับประทานเช่นกัน และมีชาวสวรรค์มากมาย แต่ละคนอิ่มหนำสำราญ มีความสุข รักสามัคคีกัน ไม่ทะเลาะกัน เขาก็นึกชื่นชม และเมื่อเขาสังเกต ก็พบว่า ชาวสวรรค์แต่ละคนก็มี “ช้อน” สำหรับตักสตู และช้อนของชาวสวรรค์นั้น ก็ยาวกว่าแขนเช่นกัน ทำให้เขาแปลกใจมาก
       
       เขาจึงถามพระเจ้า “พระเจ้า ข้าพระองค์เห็นคนในนรกหิวโหย ก็เพราะช้อนยาวจนป้อนเข้าปากไม่ได้ ก็นึกว่า ชาวสวรรค์มีสิทธิพิเศษ มีช้อนที่สั้นเป็นปกติ แต่กลับพบว่า ช้อนของเขาก็ยาวเกินไปเหมือนกัน แล้วมันจะต่างกันตรงไหน ?”
       
       พระเจ้าตรัสตอบว่า “แน่ล่ะสิ มันต่างกัน เพราะคนบนสวรรค์ เขาเรียนรู้ที่จะ “ป้อน” ให้กันและกัน”
       
       ความแตกต่างระหว่างสวรรค์กับนรก ไม่ใช่เงื่อนไขที่ต่างกัน แต่จิตใจ และความคิดของคนในสังคมนั่นแหละ ที่จะทำให้สังคมนั้น เป็นนรก หรือ เป็นสวรรค์
       
       หากคนคิดเห็นแก่ตัว เรื่องความสุขในชีวิตก็เป็นเรื่องเห็นแก่ตัวเองฝ่ายเดียว เป้าหมายในชีวิตก็เป็นเรื่องเห็นแก่ตัวฝ่ายเดียว แต่ละคนเอาเรื่องประโยชน์ส่วนตัวเป็นหลัก ไม่สนใจผู้อื่น สังคมก็จะขาดความรัก และขาดความสุข
       
       แต่สังคมที่เห็นแก่ส่วนรวม เห็นแก่กันและกัน รักกัน สามัคคีกัน สังคมนั้นก็มีแต่ความสุข สันติ และความรัก และนำไปสู่สภาพสังคมที่มีพลัง และเศรษฐกิจก็จะดี


       
       มีหลักธรรมที่เตือนสติเราทุกคนอยู่ว่า “จงเข้าใจข้อนี้ คือว่าในสมัยจะสิ้นยุคนั้น จะเกิดเหตุการณ์กลียุค เพราะมนุษย์จะเห็นแก่ตัว เห็นแก่เงิน เย่อหยิ่ง ยโส ชอบด่าว่า ไม่เชื่อฟังคำบิดามารดา อกตัญญู ไร้ศีลธรรม ไร้มนุษยธรรม ไม่ให้อภัยกัน ใส่ร้ายกัน ไม่ยับยั้งชั่งใจ ดุร้าย เกลียดชังความดี ทรยศ มุทะลุ หัวสูง รักความสนุกยิ่งกว่ารักพระเจ้า ถือศาสนาแต่เปลือกนอก ส่วนแก่นแท้ของศาสนาเขาไม่ยอมรับ” ผมเห็นแล้วก็รู้สึกแตะต้องใจ และคิดว่า สำหรับสถานการณ์ในไทยในปัจจุบัน คงจะเป็นประโยชน์ไม่น้อยที่จะได้นำเสนอต่อท่านผู้อ่าน เพื่อให้เราคนไทยทุกคนระมัดระวังความคิดที่เห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว แตกแยกแบ่งก๊กแบ่งฝ่าย ล้วนแต่นำไปสู่ความสูญเสีย
       

Credit : Manager