17 October 2014

วันนี้มาแชร์เรื่ององศาที่แตกต่าง มาดูกัน เรื่องราวของ"มีด"

องศาที่น่าสนใจของมีดต่างๆที่มี หลากหลาย

เช่น

มีดทำครัว จะมีองศาต่อด้านราวๆ 7 – 15 องศา

มีดพับทั่วไป จะมีองศาต่อด้านราวๆ 15 – 20 องศา

มีดล่าสัตว์ จะมีองศาต่อด้านราวๆ 20 – 25 องศา

มีดอีโต้/ปังตอ จะมีองศาต่อด้านราวๆ 20 – 30 องศา

มีดพร้า จะมีองศาต่อด้านราวๆ 25 – 35 องศา

ดังนั้น จะเห็นได้ว่า คมมีดยิ่งบาง (องศาคมน้อย) มีดยิ่งคม แต่คมจะเปราะง่าย
ซึ่งในการเลือกว่ามีดเล่มไหนต้องมีองศาคมเท่าไหร่ต้องคำนึงถึงรูปแบบการใช้งานเป็นอันดับแรก

"ถ้าเอามีดที่คมบางๆ ไปฟันไม้ นอกจากจะไม่ค่อยเข้าแล้ว คมยังจะบิ่นด้วย เสียดายของ"

คิดให้ลึกๆนะ มันมีนัยสำคัญ

04 September 2014


"One man can be a crucial ingredient on a team, but one man cannot make a team."
 ~Kareem Abdul-Jabbar~

เราอาจไม่มีทางเลือกที่จะต้องรับคนรุ่นใหม่นี้เข้ามาร่วมงานด้วย แนวทางในการตั้งรับพวกเขาในมุมเหล่านี้อาจช่วยคุณได้
Gen-Y (เจ็นวาย) หรือ Y-Generation ที่หมายถึงคนรุ่นใหม่ที่อายุยังไม่เกิน 25 ปีในสมัยนี้ มักถูกพูดถึงจากผู้ที่เคยทำงานด้วยว่าเป็นกลุ่มที่ทำงานด้วยได้ยากเหลือเกิน เนื่องจากลักษณะนิสัยเฉพาะกลุ่มที่พร้อมแสดงความคิดเห็นเสมอ และมีความมั่นใจในตัวเองสูงโดยที่ไม่สนใจกับคำวิจารณ์รอบๆ ตัวแม้ว่าเรื่องนั้นอาจกลายเป็นปัญหาขึ้นมาได้ก็ตาม แถมยังถูกจัดว่าเป็นกลุ่มคนที่มีความภักดีต่อองค์กรค่อนข้างน้อย เปลี่ยนงานบ่อยที่สุดอีกด้วย
แต่ด้วยพลังทางความคิดอันเต็มเปี่ยม มุมความคิดสร้างสรรค์ พร้อมด้วยไฟในการทำงานที่ลุกโชนได้ง่ายๆ ก็ทำให้ยากจะมองข้ามคนในยุค Gen-Y ไปได้เฉยๆ เหมือนกันและเพราะสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป ถ้าเราอาจไม่มีทางเลือกที่จะต้องรับคนรุ่นใหม่นี้เข้ามาร่วมงานด้วย แนวทางในการตั้งรับพวกเขาในมุมเหล่านี้อาจช่วยคุณได้
gen y can be so confused, sometimes

เด็กรุ่นใหม่กลุ่มนี้ล้วนออกจากมหาวิทยาลัยมาพร้อมความมั่นใจที่เต็มเปี่ยมว่าพร้อมเสมอสำหรับงานใหม่ๆ ทุกอย่างที่ท้าทายตลอดเวลา แต่แม้ว่าจะมั่นใจสักแค่ไหน ถ้าเด็ก Gen-Y ทำอะไรไม่สำเร็จนั้นก็มักจะรู้สึกผิดหวังมากๆ อยู่บ่อยครั้ง นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมการตั้งความคาดหวังที่ไม่ชัดเจนหรือตั้งเป้าหมายที่ไม่มีทิศทางที่แน่ชัดให้ก็ยิ่งเป็นการทำร้ายพวกเขาทางอ้อมไปในตัว เพราะพวกเขามีความสุขกับการทำให้สิ่งต่างๆ บรรลุเป้าหมายได้อยู่เสมอเพื่อให้เป็นบันได้ก้าวไปสู่ความสำเร็จในอนาคตข้างหน้า แต่พวกเขาจะรู้สึกเหมือนเป็นแค่หนูถีบจักรที่วิ่งวนอยู่กับที่ในวงล้อถ้าหากทำอะไรก็ดูเหมือนไม่สำเร็จสักอย่างเลย
ไม่สำคัญว่าเป้าหมายจะเล็กหรือใหญ่ หากขั้นตอนนั้นได้รับการวางแผนไว้ในใจของเราเสร็จสรรพ และรู้ผลเป้าหมายปลายทางที่อยากได้แล้วละก็ ลองมอบใส่มือพวกเขาให้ลองจัดการมาให้สำเร็จได้เลย

การวางตัวกับผู้ร่วมงาน Gen-Y จึงเป็นเรื่องสำคัญ
โดยปกติแล้วเด็ก Gen-Y มักจะมีมุมมองว่างานของพวกเขาเหมือนกับเส้นทางของการศึกษาต่อหลังจบมหาวิทยาลัย ในช่วงแรกๆ พวกเขาจะกระหายใคร่เรียนรู้อะไรก็ตามที่อาจนำไปต่อยอดเป็นงานได้จริงๆ พวกเขาจึงพอใจกับการถูกเทรนงานใหม่ๆ เสมอๆ นั่นหมายความว่าในฐานะหัวหน้าทีม เราอาจต้องขุดความสามารถในการวางตัวเป็นพี่เลี้ยงที่ดีและพร้อมให้คำปรึกษาในหลายๆ เรื่องออกมาเตรียมให้พร้อมรอรับมือกันเลยทีเดียว ไม่เช่นนั้นมุมมองของเด็กๆ จะค่อยๆ เปลี่ยนไป ความไม่เชื่อถือและไม่ไว้ใจว่าเราจะให้ความรู้อะไรกับพวกเขาได้จริงๆ จะค่อยๆ เข้ามาแทนที่ นำไปสู่การไม่เชื่อฟังและไม่สนใจต่อคำสั่งที่ตามๆ มาในอนาคต ดังนั้นการวางตัวกับผู้ร่วมงาน Gen-Y จึงเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการรับฟัง ตั้งคำถามกลับไป การพูดอธิบาย หรือแม้กระทั่งการประเมินผลให้กับพวกเขา ล้วนแล้วแต่มีผลต่อพฤติกรรมและมีส่วนทั้งสร้างแรงผลักดันหรือบั่นทอนกำลังใจพวกเขาแทบทั้งสิ้น

เพื่อนร่วมงานหรือคนในทีมคือกุญแจสำคัญที่มีผลในการสร้างแรงผลักดันและในการตัดสินใจอยู่ทำงานต่อของคน Gen-Y เป็นอย่างมาก
เราอาจต้องยอมรับความจริงว่ามีเปอร์เซ็นต์น้อยมากๆ ที่เด็ก Gen-Y หวังจะทำงานในบริษัทเดียวตลอดไป
เมื่อดูตามลักษณะนิสัยแล้วจะพบคนกลุ่มนี้มักจะให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนๆ ในทีมมากกว่าในบริษัทเสียอีก นั่นเป็นเพราะความต้องการที่อยากให้สังคมยอมรับและเห็นว่าสังคมเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญอย่างยิ่งในการดำเนินชีวิต และพวกเขายังคงอยู่ในวัยที่ศรัทธารูปแบบพลังมวลชนและการก้าวไปข้างหน้าพร้อมๆ กัน เหมือนกับที่ถูกปลุกเร้าให้รู้สึกเวลาพูดถึงสถาบันหรือคณะที่เรียน เป็นต้นการพยายามออกแบบงานในรูปแบบกลุ่มซึ่งทำให้มีเหตุให้ต้องทำกิจกรรมร่วมกับคนอื่นในทีมอยู่บ่อยๆ จึงล้วนแล้วแต่ทำให้คนเหล่านี้รู้สึกสนุกกับการทำงานได้มากขึ้น เป็นสิ่งที่ควรทำ

อาจเป็นเรื่องยากที่จะรักษาเด็ก Gen-Y เอาไว้ เพราะด้วยลักษณะนิสัยที่ทะเยอทะยานต้องการที่จะเติบโตทำให้พวกเขาชอบเปลี่ยนงานอยู่บ่อยๆ การคอยช่วยบอกเส้นทางอาชีพของพวกเขาในองค์กรหรือบอกโอกาสที่จะเติบโต รวมถึงเข้าใจความสนใจของพวกเขาว่าอยากทำงานลักษณะไหนเป็นพิเศษ เป็นอีกวิธีที่จะซื้อใจพวกเขาได้ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าเราไม่สามารถหยิบยื่นโอกาสเหล่านี้ให้กับพวกเขาได้ ก็อย่าพยายามที่จะฉุดรั้งพวกเขาไม่ให้ไปหางานใหม่ที่ดีกว่า เพราะนั่นสร้างความเห็นด้านลบในใจพวกเขามากกว่าจะให้ผลดี
เราอาจต้องยอมรับความจริงว่ามีเปอร์เซ็นต์น้อยมากๆ ที่เด็ก Gen-Y หวังที่จะใช้ชีวิตวัยทำงานในบริษัทเดียวตลอดไป การค้นหาหนทางดีกว่าอยู่เรื่อยเป็นเรื่องปกติที่พวกเขามักจะทำกัน ซึ่งหากเราซื้อใจพวกเขาได้จนพวกเขารู้สึกว่าเรานี่ล่ะที่เป็นหุ้นส่วนในสายงานที่แท้จริง สักวันหนึ่งเขาอาจจะกลับมาพร้อมความช่วยเหลือที่จะมอบให้กับเราอีกครั้งก็เป็นได้
• • •
แน่นอนว่าเงินเป็นส่วนหนึ่งของแรงจูงใจในการทำงานของ Gen-Y แต่เงินเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะซื้อใจให้คนกลุ่มนี้ทำงานกับเราไปได้ตลอด
และแม้จะดูว่าเด็กเหล่านี้น่าจะรับมือยาก แต่ถ้าเราเข้าใจและให้สิ่งที่ตรงกับความต้องการได้ หรือเราอาจจะพูดว่าหากซื้อใจกันได้ นั่นจะเป็นกุญแจดอกสำคัญจะทำให้เด็กเหล่านี้ค่อยๆ เปิดใจเตรียมพร้อมรับการเติบโตและเรียนรู้สิ่งที่ยากขึ้นได้ในภายหลัง ดังนั้นการได้รู้จักลักษณะนิสัยเหล่านี้ไว้ก่อนพอเป็นแนวทางจึงน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการรับมือให้ได้ดียิ่งขึ้นแน่นอน

Credit : INC Quity
Photo were selectively used with cc concerned from http://lovekokkhuan.blogspot.com





02 September 2014


Original version by " Evanescence "







My Immortal" is a song by American rock band Evanescence from their debut studio album Fallen (2003). It was released by Wind-up Records on December 8, 2003 as the third single from the album. The song was entirely written by guitarist Ben Moody, with the exception of the bridge, which was later written by lead singer Amy Lee, and it was produced by Dave Fortman. "My Immortal" was included on their EP release Mystary (2003) and on the demo album Origin (2000). The version originally from Origin was later included on Fallen. The single version of the song was called "band version" because of the additional band performing the bridge and final chorus of the song.


is a piano rock song written in slow and free tempo. Moody was rumored to have been inspired to write it after the death of his grandfather. Lyrically, it talks about "a spirit staying with you after its death and haunting you until you actually wish that the spirit were gone because it won't leave you alone."[1] Critical reception towards the song was positive, with critics complimenting its piano melody. In 2005 it received a nomination for Best Pop Performance by a Duo or Group with Vocals at the 47th Grammy Awards. The song was also commercially successful, peaking within the top ten in more than ten countries. It also peaked at number seven on the US Billboard Hot 100 and topped the charts in Canada, Greece and the US Adult Pop Songs chart. The single was certified gold in the US, and platinum in Australia.

An accompanying music video directed by David Mould was filmed entirely in black-and-white in Gothic Quarter, Barcelona on October 10, 2003. The video shows Lee sitting and singing on various locations, but never touching the ground. Shots of Moody are also shown but he is never together with his band or Lee. The video was nominated in the category for Best Rock Video at the 2004 MTV Video Music Awards. The song was performed by the band during their Fallen Tour and The Open Door Tour. It was also performed live during some of their television appearances and award ceremonies such as the Billboard Music Awards.



Lindsey's Exclusive Deluxe  Album featuring 
"My Immortal" 



Original Version by "Evanescence"






01 September 2014

ในที่สุด เมื่อทำอะไรไม่ได้  ทรุดกายลงนั่งอยู่ตรงนั้น  มองรอบกายด้วยใจนิ่ง  หายใจเข้าออกอย่างเป็นปกติ

ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ มองทางออก  ตอนนี้ยังไม่รู้จะลุกไปทางไหน  แต่ ฉันก็ไม่ร้อนรน ไม่ไขว่คว้าจนรู้สึกเหนื่อย ..  ฉันกำลังสร้าง กำลังใจเล็ก ๆ ในมุมมืดที่ยังหาทางไม่เจอ...  และสักวัน กำลังใจฉันจะต้องเติบใหญ่ ด้วยมีความอดทนช่วยหล่อเลี้ยง...

ความอดทนและกำลังใจ เล็ก ๆ จากตัวเอง...


การปล่อยให้ตัวเองได้อ่อนแอบ้าง  ไม่จำเป็นต้องเข้มแข็งตลอดเวลา  บางครั้งเวลาเรารั้งความเข้มแข็งเอาไว้  ความอ่อนแอมันจะมีกำลังแข็งแกร่ง  และทำร้ายเราได้ง่ายขึ้น


ในวันที่เราอ่อนแอ ยอมรับเถิดว่าเราอ่อนแอ  ไม่ต้องดันทุรังบอกว่า ตัวเองยังไหวอยู่  ในวันที่เรารู้สึกแพ้ ยอมรับเถิดว่าเราไม่ชนะ  ไม่ต้องหลอกตัวเอง เพื่อที่จะได้เป็นคนเข้มแข็ง  ความอ่อนแอไม่ได้น่ารังเกียจแต่อย่างใด


ถ้าเราทำดีที่สุดแล้ว  ก็หมายความว่า เราได้ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าแล้ว  ถ้าเราทำดีที่สุดแล้ว  ก็ไม่เห็นต้องเสียดายเวลาเลย  ถ้าเราทำดีที่สุดแล้ว  จะแพ้หรือชนะก็ไม่ใช่ความหมายใหญ่โตอะไร


ประเด็นคือ...เราเคยยอมรับบ้างไหม  ว่าเราก็เคยอ่อนแอ

โดย พระอาจารย์เผด็จ  ธรรมะ Delivery


ขอเกริ่นนำ ถึง Emotion มีความหมายว่า การเกิดการเคลื่อนไหว หรือภาวะที่ตื่นเต้น มันเป็นการยากที่จะบอกว่า อารมณ์คืออะไร แต่มีแนวคิดหนึ่ง ที่ให้ความเข้าใจได้ง่ายกล่าวไว้ว่า อารมณ์เป็นความรู้สึกภายในที่เร้า ให้บุคคลกระทำ หรือเปลี่ยนแปลงภายในตัว ของเขาเอง ซึ่งความรู้สึก เหล่านี้จะเป็นความรู้สึกที่พึงพอใจ ไม่พึงพอใจ หรือรวมกันทั้งสองกรณี อารมณ์เป็นสิ่งที่ไม่คงที่มีการแปรเปลี่ยน อยู่ตลอดเวลา

การใช้อารมณ์ เป็นผลเสียต่อตัวเอง ผู้ที่มีลักษณะที่จะล้มเหลว และมีแต่ความทุกข์ใจคือผู้ที่ยึดตัวเองเป็นหลัก ไม่ยอมรับฟังผู้อื่น การใช้อารมณ์ มาตัดสินคนอื่น 

ผู้ที่ยึดตัวเองเป็นหลัก คือผู้ที่หมดโอกาสเรียนรู้โดยแท้จริงแม้ใจอยากได้แต่สิ่งดีๆ แต่สิ่งดีๆก็เข้าไม่ถึงใจ
เพราะความกลัว ใจจึง ปิด ความคิด จึงไม่ก้าว” จมปลัก อคติ

ตรงกันข้าม 

“ผู้ที่มีลักษณะที่จะประสบความสำเร็จ และพบความสุขคือผู้ที่กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองผู้ที่กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองคือผู้ที่กล้าหาญที่จะรับฟังคำติมากกว่าคำชม คือ กล้า... ทั้งคนพวกนี้ยังจะมีความสุขในการใช้ชีวิตในสังคมอีกด้วย


Emotion (ตัดสินคนอื่น)

เราควรหลีกเลี่ยงการคิดแทนคนอื่น ไม่ว่าเราจะจริงใจอย่างไร เราก็ไม่ควรไปแนะนำคนอื่นให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้หากเขาไม่ร้องขอ เพราะความหวังดี จริงใจของเรามีไว้เพื่อช่วยเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อชี้นำใคร ต้องระวังตัวเองให้ดีสำหรับเส้นขีดระหว่างความหวังดีกับการก้าวล่วงความคิดคนอื่น

อีกเรื่องคือการตัดสินผู้อื่น ไม่ว่าเราจะจริงใจ หวังดีแค่ไหน การกระทำความคิดใดๆของคนอื่น ก็เป็นสิทธิส่วนตัวของคนนั้น เหตุผล ความคิด ความหวังดีของเรา ไม่ว่าจะจริงใจแค่ไหนก็ไม่มีทางจะถูกต้องตรงกับผู้อื่น ไม่ว่าเราจะคิดว่าเรื่องนั้นดีหรือไม่ดี ก็เป็นเพียงมุมมองของเรา ซึ่งเราเองก็คงไม่อยากให้ใครมาตัดสินการกระทำ ความคิดของเราเช่นกัน




กรณีบางกรณี อาจจะเตือนสติเราได้ไม่มากก็น้อย เช่น : 

"เด็กชายเอ (นามสมมติ) ตั้งใจเรียน แต่ขาดเรียนเป็นประจำ หรือบางวันก็หายไปจากโรงเรียนตอนประมาณ 11.00 น. แล้วกลับมาอีกครั้งตอนบ่ายสอง ครูลงโทษที่เด็กชายเอ โดดเรียนด้วยการตี เพราะคิดว่าเด็กชายเอไม่ตั้งใจเรียน เพื่อนคนหนึ่งเห็นแอบไปเห็นเด็กชายเอที่หลังวัด ก็เก้บเอามาเล่าให้เพื่อนและครูฟังว่า "สงสัยเด็กชายเอ ต้องติดกาวแน่เลย ที่หายไปเพราะมัวแต่ไปแอบดมกาวอยู่"  แต่จะมีใครรู้บ้างว่า พ่อทิ้งเขาไป แม่เป็นอัมพาต ไม่เคยได้ทานอาหารเช้า เขาต้องรีบมาวัดเพื่อจะได้เก็บข้าวก้นบาตรหลังพระฉันเพลไม่งั้นแม่ครัวอาจจะเทอาหารที่เหลือให้สุนัขและแมว ไม่อยากให้ใครเห็นว่าหนีเรียนมา ห่อข้าวก้นบาตรได้แล้ว ก็รีบออกไปหาที่นั่งใต้ต้นไม้ทานหลังวัด และแบ่งไว้ให้แม่ได้ทานด้วย  เพราะครูสงสัย ครูจึงตามไปดู และพบกับความจริงของชีวิตเด็กชายเอ ก็เลยเกิดเป็นเรื่องวัลลี ..2 ..3 ..4 ...5 เด็กกตัญญู ในสื่อต่างๆมากมาย

ยังไม่ได้รับฟังเรื่องราวทั้งหมด ก็อย่าเพิ่งไปด่วนสรุปว่าเป็นอย่างไร หรือตัดสิน ดี-ชั่ว งาม-ไม่งาม เพราะภาพที่เห็น อาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดเสมอไป



ดังนั้น...

การตัดสินที่แย่ที่สุด คือ การตัดสินคนอื่นด้วยความรู้สึกของตัวเอง อย่าเก็บ "คำวิจารณ์" ของคนอื่นมาใส่ใจ เพราะมาตรฐานแต่ละคน แตกต่างกัน การที่จะทำให้ทุกคนพึงพอใจ มัน คือ ความพยายามที่ "เป็นไปไม่ได้"




19 August 2014


การที่เราจะคบหา หรือรู้จักใครสักคน ไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็ตาม

สิ่งหนึ่งที่ควรท่อง ควรจำไว้อยู่เสมอก็คือ "คน" เป็นสิ่งมีชีวิต ที่มีทั้งด้านบวกและด้านลบ อยู่ในนั้น

อย่าตั้งใจกับคน 1 คนมากเกินไป
เพราะไม่มีใครอยากเป็นต้นเหตุของความล้มเหลว

อย่าคาดหวังกับ คน 1 คนมากเกินไป
เพราะไม่มีใครสามารถเป็นทุกอย่าง ที่ทุกคนอยากให้เป็น

อย่าให้เวลากับคน 1 คนมากเกินไป
เพราะไม่ว่าใครก็อยากมีช่วงเวลาของความเป็นส่วนตัว. . . คนเดียว ....

อย่าพยายามเปลี่ยนแปลงคน 1 คนมากเกินไป
เพราะนั่นจะทำให้เค้าไม่หลงเหลือความเป็นตัวของตัวเอง

อย่าควบคุมชีวิตคน 1 คนมากเกินไป
เพราะมนุษย์มักจะหาวิธีการแทรกตัว เพื่อออกมาจากกฎที่ถูกกำหนด

อย่าบีบบังคับคน 1 คนมากไปกว่านี้
เพราะถ้าคนๆนั้น หลุดจากภาวะบีบบังคับมาได้ คุณจะกลายเป็นคนที่ถูกหันหลังให้ในทันที

เธอ... ลองมองดูฉันดีๆ ฉันมีลมหายใจ ไม่ใช่ภาพวาด ที่จะสวยงามอยู่ตลอดเวลา ฉันเองก็เป็น " คน" เป็นสิ่งมีชีวิตที่มี 2 ด้าน... เช่นกัน

...อยากรู้จักใครสักคน ต้องหัดเรียนรู้ ไม่ใช่เปลี่ยนแปลง...

10 August 2014

“จิตสำนึกผิดชอบก็เหมือนดินสอ ที่ต้องเหลาให้แหลมคมอยู่เสมอ” 
“อย่าโยนความผิดให้คนอื่น  แต่จงรับผิดชอบชีวิตของตนในทุก ๆ ด้าน”


จิตสำนึก( ความรับผิดชอบส่วนตัว ) Personal accountability 

“In the long run, we shape our lives, and we shape ourselves. The process never ends until we die. And the choices we make are ultimately our own responsibility.” 

― Eleanor Roosevelt

คำนี้ไม่ได้แปลว่าความรับผิดชอบที่เกิดจากการได้รับมอบหมายหน้าที่เท่านั้น แต่ยังหมายถึงความรับผิดชอบอันเกิดจากจิตสำนึกทางด้านศีลธรรม, จริยธรรม, และ พรหมวิหารธรรมอีกด้วย.

พรหมวิหารธรรม  คือ ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของผู้ใหญ่ มี  4 อย่าง
                   1.  เมตตา    ปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข
                   2.  กรุณา     ความสงสารคิดจะช่วยให้พ้นทุกข์
                   3.  มุทิตา     พลอยยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี
                   4.  อุเบกขา   ความวางเฉย  ไม่ดีใจ  ไม่เสียใจ  เมื่อผู้อื่นถึงความวิบัติ

คำว่า  พรหม  คือ ผู้ประเสริฐ  เข้าใจกันส่วนมาก  พรหมมีวิมานอยู่ส่วนหนึ่งต่างหากจากพวกเทพ  ไม่มีคู่ครองเหมือนพวกเทพ  อยู่เดียว  พวกพราหมณ์ถือว่าเป็นต้นวงศ์ของพวกเขา  ทางพุทธศาสนาก็มีเกี่ยวเรื่องพรหมอยู่หลายที่  ผู้บำเพ็ญตนได้ฌานสมาบัติก็ว่าตายไปเป็นพรหม  ส่วนใหญ่พระพุทธเจ้ามุ่งให้ทุกคนประพฤติธรรมที่จะทำให้เป็นพรหมมากกว่า

คำว่า  วิหารธรรม  คือ  ธรรมเป็นเครื่องอยู่  หมายถึง  เอาใจเข้าหาธรรมะ  หรือเอาธรรมะเข้ามาไว้ที่ใจพูดง่ายๆ ก็คือ  ทั้งเนื้อทั้งตัวมีธรรมะ เมื่อนำคำทั้งสองมารวมเข้ากันเป็น

พรหมวิหารธรรม  หมายถึง  ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของผู้ใหญ่  มีธรรมเป็นเครื่องอยู่อย่างประเสริฐ  ผู้มีคุณธรรม  4 ข้อดังกล่าวมานี้  จะอยู่ในวัยไหนก็ตาม  เรียกว่าผู้ใหญ่ทั้งนั้น  โลกจะร่มเย็นดับยุคเข็ญได้ จะเว้นธรรมเหล่านี้เสียมิได้

สรรพสัตย์ทั้งหลายในโลกย่อมมีทั้งดีและไม่ดีคละเคล้าปะปนกันไป !!

"หลักธรรม"คำสอนของ"พระพุทธองค์"นั้นได้ชื่อว่าเป็นคำสอนอันประเสริฐสุด แล้วแต่ผู้ไดที่จะได้รับอานิสงค์ของการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบได้นั้นไม่ใช่ว่าใครๆก็จะได้รับไปทั้งหมดและสามารถทำได้ทั้งหมด

อยู่ที่"บุคคล"นั้นจะสามารถมี"ดวงตาเห็นธรรม"จริงแท้แค่ไหนต่างหากและจะสามารถนำคำสอนนั้นมาประพฤติ-ปฏิบัติได้ครบถ้วนไม่ตกหล่นทำอยู่เป็นอาจินต์เช่นนี้ได้ บุคคลนั้นก็จะเป็นผู้ที่รู้แจ้งเห็นจริงและพบหนทางเห็นการพ้นทุกข์ได้และถือว่าเป็น"คนดี"ในสังคมได้

สุดท้าย..สังคมจะดีได้ต้องอยู่ที่คนในสังคมนั้นต้องมี"คนดี"มากกว่า"คนไม่ดี"แล้วคนดีก็จะเป็น"ผู้นำ"พาสังคมนั้นไปสู่หนทางแห่งความสุข



By : Nuch-Cha Natnapatch


07 August 2014


One and Only - Adele





You've been on my mind
คุณอยู่ในใจของฉัน
I grow fonder every day
ความรักความลุ่มหลงมันเกิดขึ้นทุกวันเลย
Lose myself in time
สูญเสียความเป็นตัวเองเลยล่ะในเวลานั้น
Just thinking of your face
เพียงแค่คิดถึงหน้าของคุณ
God only knows why it's taken me so long to let my doubts go
พระเจ้ารู้แค่ว่าทำไมถึงปล่อยให้มันยาวนานเพียงเพราะต้องการให้ข้อสงสัยของฉันหายไป
You're the only one that I want
สิ่งที่ฉันต้องการคือคุณเท่านั้น

I don't know why I'm scared
ฉันไม่รู้ว่าทำไมฉันต้องกลัวด้วย
I've been here before
ฉันไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อนเลย
Every feeling, every word
ทุกๆความรู้สึก ทุกๆคำ
I've imagined it all
ฉันคิดขึ้นมาทั้งหมด
You'll never know if you never try
คุณจะไม่รู้เลยถ้าคุณไม่ได้พยายามทำ
To forget your past and simply be mine
ลืมเรื่องราวในอดีตและคุณก็เป็นของฉัน

I dare you to let me be your, your one and only
ฉันกล้าที่จะให้ฉันเป็นของคุณ ของคุณคนเดียว ของคุณเท่านั้น
Promise I'm worth it
สัญญาสิ มันคุ้มค่ามากเลยนะ
To hold in your arms
โอบกอดฉันไว้
So come on and give me a chance
เข้ามาแล้วก็ให้โอกาสกับฉันนะ
To prove I am the one who can walk that mile
เพื่อพิสูจน์ว่าฉันสามารถเดินเป็นกิโลๆได้เลยล่ะ
Until the end starts
จนกระทั่งมันจบลง

If I've been on your mind
ถ้าฉันอยู่ในใจของคุณ
You hang on every word I say
คุณติดอยู่กับทุกๆคำ ฉันพูด
Lose yourself in time
คุณสูญเสียความเป็นตัวเองในวินาทีนั้นเลยล่ะ
At the mention of my name
ตอนที่กล่าวถึงชื่อฉันน่ะ
Will I ever know how it feels to hold you close
ฉันเคยรู้สึกแบบนี้เมื่อใกล้ชิดกับคุณ
And have you tell me whichever road I choose, you'll go?
และอยู่บนถนนที่คุณบอกให้ฉันเลือก คุณก็จะไป

I don't know why I'm scared
ฉันไม่รู้ทำฉันกลัว
'Cause I've been here before
เพราะฉันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนน่ะสิ
Every feeling, every word
ทุกความรู้สึก ทุกคำพูด
I've imagined it all
ฉันคิดขึ้นมาทั้งหมด
You'll never know if you never try
คุณจะไม่รู้เลยถ้าคุณไม่ได้พยายามทำ
To forget your past and simply be mine
ลืมเรื่องราวในอดีตที่ผ่านแล้วคุณก็เป็นของฉัน

I dare you to let me be your, your one and only
ฉันกล้าที่จะเป็นของคุณ ของคุณคนเดียว ของคุณเท่านั้น
I promise I'm worth it, mmm,
สัญญานะ ไม่คุ้มค่ามากๆ
To hold in your arms
โอบกอดฉันไว้
So come on and give me a chance
ให้โอกาสกับฉัน
To prove I am the one who can walk that mile
เพื่อพิสูจน์ว่าฉันสามารถเดินไปเป็นกิโลๆได้เลย
Until the end starts
จนกระทั่งมันจบลง

I know it ain't easy giving up your heart
ฉันรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่คุณจะยอมให้จับจองหัวใจ
I know it ain't easy giving up your heart
ฉันรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่คุณยอมให้จับจองหัวใจ
Nobody's pefect
ไม่มีใครเพอร์เฟคต์ขนาดนั้น
(I know it ain't easy giving up your heart),
Trust me I've learned it
ไว้ใจฉันให้ฉันได้เรียนรู้มัน
Nobody's pefect
ถึงจะไม่มีใครเพอร์เฟคต์ขนาดนั้น
(I know it ain't easy giving up your heart),
Trust me I've learned it
แต่ ไว้ใจให้ฉันได้เรียนรู้
Nobody's pefect
ไม่มีใครสมบูรณ์แบบหรอกนะ
(I know it ain't easy giving up your heart),
Trust me I've learned it
Nobody's pefect,
(I know it ain't easy giving up your heart),
Trust me I've learned it
ไว้ใจฉันให้ฉันได้เรียนรู้มัน หัวใจ

So I dare you to let me be your, your one and only
I promise I'm worth it,
To hold in your arms,
So come on and give me a chance,
To prove I am the one who can walk that mile,
Until the end starts,

Come on and give me a chance,
To prove I am the one who can walk that mile,
Until the end starts.

=========

...อ้างอิง http://sz4m.com/b2330462

04 August 2014

แล้ววันนึงของเราจะมาถึง..


จะพยายาม
จะเชื่อมั่น
จะไม่มีวันยอมแพ้




Nu-Cha Natnapatch

01 August 2014

ไปเจอเนื้อหาส่วนนึงในเวปผู้จัดการ ...ประทับใจมาก ขอนำมาให้เพื่อนๆลองอ่านดู ความเห็นแก่ตัวของมนุษย์..สะท้อนภาพในภาวะปัจจุบัน ( สะท้อนเรื่องทั่วไป ไม่ขออิงการเมือง)


มีชายคนหนึ่งเข้าเฝ้าพระเจ้า และถามพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า สวรรค์กับนรกนั้น ต่างกันอย่างไร ?” พระเจ้าตรัสตอบว่า “ตามเรามาดูกัน”
       
       เขาก็ไปเห็นห้องๆหนึ่ง ที่เป็น “นรก” ภายในห้องมีหม้อสตูเนื้อหอมฉุยน่ารับประทาน และมีชาวนรกมากมาย แต่ละคนหิวโหย หมองเศร้า ขาดความสามัคคีกัน ไม่รักกัน ทะเลาะกัน เขาก็นึกสงสาร และเมื่อเขาสังเกต ก็เห็นว่า สาเหตุก็คือ ชาวนรกแต่ละคนจะมี “ช้อน” สำหรับตักสตู แต่ช้อนของชาวนรกนั้น ยาวกว่าแขน ทำให้ตักสตูเข้าปากไม่ได้ จึงหิวโหย
       
       และเขาก็ได้ไปเห็นอีกห้องหนึ่ง ที่เป็น “สวรรค์” ภายในห้องก็มีหม้อสตูเนื้อหอมฉุยน่ารับประทานเช่นกัน และมีชาวสวรรค์มากมาย แต่ละคนอิ่มหนำสำราญ มีความสุข รักสามัคคีกัน ไม่ทะเลาะกัน เขาก็นึกชื่นชม และเมื่อเขาสังเกต ก็พบว่า ชาวสวรรค์แต่ละคนก็มี “ช้อน” สำหรับตักสตู และช้อนของชาวสวรรค์นั้น ก็ยาวกว่าแขนเช่นกัน ทำให้เขาแปลกใจมาก
       
       เขาจึงถามพระเจ้า “พระเจ้า ข้าพระองค์เห็นคนในนรกหิวโหย ก็เพราะช้อนยาวจนป้อนเข้าปากไม่ได้ ก็นึกว่า ชาวสวรรค์มีสิทธิพิเศษ มีช้อนที่สั้นเป็นปกติ แต่กลับพบว่า ช้อนของเขาก็ยาวเกินไปเหมือนกัน แล้วมันจะต่างกันตรงไหน ?”
       
       พระเจ้าตรัสตอบว่า “แน่ล่ะสิ มันต่างกัน เพราะคนบนสวรรค์ เขาเรียนรู้ที่จะ “ป้อน” ให้กันและกัน”
       
       ความแตกต่างระหว่างสวรรค์กับนรก ไม่ใช่เงื่อนไขที่ต่างกัน แต่จิตใจ และความคิดของคนในสังคมนั่นแหละ ที่จะทำให้สังคมนั้น เป็นนรก หรือ เป็นสวรรค์
       
       หากคนคิดเห็นแก่ตัว เรื่องความสุขในชีวิตก็เป็นเรื่องเห็นแก่ตัวเองฝ่ายเดียว เป้าหมายในชีวิตก็เป็นเรื่องเห็นแก่ตัวฝ่ายเดียว แต่ละคนเอาเรื่องประโยชน์ส่วนตัวเป็นหลัก ไม่สนใจผู้อื่น สังคมก็จะขาดความรัก และขาดความสุข
       
       แต่สังคมที่เห็นแก่ส่วนรวม เห็นแก่กันและกัน รักกัน สามัคคีกัน สังคมนั้นก็มีแต่ความสุข สันติ และความรัก และนำไปสู่สภาพสังคมที่มีพลัง และเศรษฐกิจก็จะดี


       
       มีหลักธรรมที่เตือนสติเราทุกคนอยู่ว่า “จงเข้าใจข้อนี้ คือว่าในสมัยจะสิ้นยุคนั้น จะเกิดเหตุการณ์กลียุค เพราะมนุษย์จะเห็นแก่ตัว เห็นแก่เงิน เย่อหยิ่ง ยโส ชอบด่าว่า ไม่เชื่อฟังคำบิดามารดา อกตัญญู ไร้ศีลธรรม ไร้มนุษยธรรม ไม่ให้อภัยกัน ใส่ร้ายกัน ไม่ยับยั้งชั่งใจ ดุร้าย เกลียดชังความดี ทรยศ มุทะลุ หัวสูง รักความสนุกยิ่งกว่ารักพระเจ้า ถือศาสนาแต่เปลือกนอก ส่วนแก่นแท้ของศาสนาเขาไม่ยอมรับ” ผมเห็นแล้วก็รู้สึกแตะต้องใจ และคิดว่า สำหรับสถานการณ์ในไทยในปัจจุบัน คงจะเป็นประโยชน์ไม่น้อยที่จะได้นำเสนอต่อท่านผู้อ่าน เพื่อให้เราคนไทยทุกคนระมัดระวังความคิดที่เห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว แตกแยกแบ่งก๊กแบ่งฝ่าย ล้วนแต่นำไปสู่ความสูญเสีย
       

Credit : Manager

28 July 2014

เพื่อนที่ดีหรือผู้ที่คอยแนะนำ ให้คำปรึกษา ชักจูงเราไปสู่สิ่งที่ดี ช่วยเหลือ สนับสนุน รวมทั้งคอยเกื้อหนุนเค้าจุนให้ชีวิตของเราดำเนินไปได้ด้วยดี ทำให้เราพบเจอแต่ความสุขความเจริญ คือ " เพื่อนแท้ "

แต่ก็มีอีกหลายคนที่คบเพื่อนไม่ดีก็มีชีวิตที่ตกต่ำเพราะเลือกที่จะอยู่หรือคลุกคลีกับคนไม่ดี  อยู่ในสังคมที่ไม่ดีหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นแหล่งอโคจรนั่นเอง เพื่อนเหล่านี้จะมีแต่ความ อิจฉาริษยา ความเบียดเบียน เอารัดเอาเปรียบ  หรือความเห็นแก่ตัว

คำว่า เพื่อน ในชีวิต ของเรา เราว่า เราเจอมาหมดแล้ว ทั้ง กัลยาณมิตร ตามที่ว่า จนถึง " เพื่อนทียม" ศัตรูในร่างของมิตรที่แฝงมา มีแต่จุดประสงค์ ในการปอกลอก เห็นแก่ผลประโยชน์ นินทา ว่าร้าย

เราขอชื่นชม ยกย่อง เพื่อนกลุ่มนึง ที่เราตัดสินแล้ว ว่า บุคคลทั้งหลายนี้ คือ เพื่อนแท้ 

เพื่อนแท้ในที่นี้ มิอาจใช่ เพื่อนที่ตายแทนได้ ไม่ได้แบ่งเบาภาระอะไรเรา แต่ เพื่อนทั้งหลายที่เรายอกย่อง เป็นเพื่อนที่น่ารัก น่าเคารพในการตัดสินใจ เป็นปรึกษาที่ดี ไม่เพิกเฉย เมื่อเรามีความทุกข์ แบ่งปันความสุข ห่วงใย ให้อภัยเสมอ เมื่อเราพลั้งผิด อยู่ด้วยแล้วสบายใจ ถึงไม่อยู่ด้วยกัน เวลานึกถึงก็ทำให้เรายิ้มได้ แค่นี้ ก็มีความสุขแล้วนะ 



สามเกลอ Stand by


The Gang ชุดเล็ก




The Gang ชุดหย่าย


The Gang (ชุดน้อง)


ปล.แค่คิดถึงก็เป็นสุขใจ (ว่างๆ จะเอารูปมาอัพเดท)

By : Nuch-Cha Natnapatch 

22 July 2014

" เพียงมีความ เชื่อมั่นและศรัทธาในตัวเอง เราจะกล้าเดินอย่างมั่นใจท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง  ทั้งที่ได้ดั่งใจและไม่ได้ดั่งใจยอมรับทั้งด้านบวกและลบของโลก พร้อมหมุนตัวเองไปพร้อมกับโลกอย่างมีความสุข "เมื่อมีความกล้า สิ่งที่ตามมาคือได้ก้าว ... เมื่อหัวใจเปิดรับ ความคิดจะเปิดกว้างเปิดโอกาสให้เรียนรู้อย่างแท้จริง สิ่งดีๆ ก็จะเข้าถึงใจ เมื่อความกลัวหายไป…หัวใจจะเป็นสุขเราจะกล้าและได้ก้าว พร้อมเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นใจ ..



You should put yourself in
his shoes before you judge him

" คุณควรจะเอาใจเขา มาใส่ใจคุณก่อนที่จะตัดสินเขา" 


ใจเขาใจเรา อยู่ในสังคมมนุษย์ สิ่งที่ต้องระวังไม่ใช่มนุษย์เสมอไป ใจที่เห็นแก่ตัวของเรานั่นแหละ คือสิ่งที่ควรระมัดระวังให้มาก เมื่อการกระทำต้องเกี่ยวพันกับผู้อื่น ไม่ต้องเอาใครไปใส่ใจใคร อย่าเอาเปรียบเขาก็พอ เมื่อมิได้คำนึงถึงสวัสดิภาพของตนเอง แต่ก็ต้องระมัดระวังสวัสดิภาพของผู้อื่น เราไม่โกรธ เราไม่กลัว เราไม่เจ็บ แต่ผู้อื่นอาจจะโกรธ อาจจะเจ็บ และอาจจะกลัว ถึงคราวที่จำเป็นต้องกระทำแล้ว ก็ลงมือกระทำด้วยสติปัญญาเถิด ไม่ต้องมัวไปคำนึงถึงใจเรา ใจเขา หรือแม้แต่ใจใครทั้งสิ้นการรู้จัก "เอาใจเขามาใส่ใจเรา" หมายถึง รู้จักคิดถึงใจคนอื่น เห็นใจคนอื่น และคิดเปรียบเทียบดูว่า ถ้าเราเป็นเขา เราจะรู้สึกอย่างไรถ้ามีคนมาปฏิบัติหรือพูดกับเรา ในแบบที่เรากำลังจะทำหรือพูดออกไป





อย่างเรื่องความรัก ความรัก ของคนสองคน  ซึ้งต้องรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา เพราะคนเราทุกคนเกิดมาก็ร้อยพ่อร้อยแม่ ต่างมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันออกไป  ใครหลายคนอาจคิดว่าก็เรารักกันนิเราคิดอย่างไรเค้าก็ต้องคิดแบบนั้น หรือคิดเหมือนกับเรา แต่ในความเป็นจริงแล้วอาจไม่ใช่ซะทุกอย่างหรือทุกเรื่อง ที่คู่รักของคุณยอมคุณอาจเป็นเพราะคำว่ารักก็ได้  เขาจึงไม่คิดที่จะขัดใจคุณ แต่การทำแบบนั้นบ่อยๆอาจจะเป็นผลร้ายตามมากับรักของคุณก็ได้....



เคยได้ยินสำนวนอันหนึ่งไหม ที่บอกว่า 


สิ่งที่ดูน่ากลัว มักจะไม่อันตรายสิ่งที่อันตราย มักจะดูไม่น่ากลัว ว่ากันว่า.. ส่วนที่น่ากลัวที่สุดของ คนมีความรัก คือ การที่รักกันมาแนบแน่น สวยหรู 

ในเวลาอกหัก ใครจะมาบอกมาพูดอะไร สามวันสามคืน ก็ไม่ช่วยอะไรได้มาก เท่ากับการมีปัญญาขึ้นในใจเราเอง ถ้าเราเข้าใจได้ว่า คนเราเกิดมาเพื่อพบกัน เพื่อมีวันเวลาที่ดีด้วยกัน 

เวลาเจอเรื่องแบบนี้ อย่าเสียเวลาถามว่า "ทำไม" ให้มากความนะ ถ้าเรารักเขามากจริงๆ อย่างที่บอกเขาเสมอ นี่ไง.. สิ่งสุดท้ายที่เราจะให้เขาได้ "ให้อภัย" ไง

คิดเสียว่า เขาจะมีความสุขมากกว่าที่ได้อยู่กับเรา อวยพรให้เขาโชคดี ในโลกใหม่ของเขา
ไม่ต้องรอเขาหรอกนะ อย่าไปหวังลมๆแล้งๆ ว่าคนตายแล้วจะฟื้นกลับมาและถึงเขาจะกลับมา เชื่อเถอะว่า ความรู้สึกดีๆ มันจะไม่เหมือนเดิมแล้ว

เขาเลือกทางเดินชีวิตของเขาแล้ว เขาเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเขา แล้วอยากร้องไห้ก็ร้องแต่พองาม พอให้รู้สึกว่าเรามีเลือดเนื้อ แต่อย่าร้องจนเสียจริต เหมือนคนคิดสั้น


เราอาจรู้สึกเหมือนโลกดับ วับหาย แต่เปล่าหรอก.. ชีวิตเพิ่งจะเริ่มเรียนรู้ความจริง
การเรียนรู้ความรู้สึกของการสูญเสียครั้งใหญ่ เป็นบทเรียนสำคัญของมนุษย์
ที่จะได้สอนตัวเองว่า .. อย่ายึดมั่นถือมั่น ทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป
ทั้งเรา ทั้งเขา ทั้งใครๆ ทั้งสิ่งนั้น สิ่งนี้ สิ่งไหน ทั้งโลกนี้ จักรวาล และกาลเวลา


โดยไม่เคยมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งเลย เพราะความสวยงามราบรื่น มันทำให้เรา "วางใจ" จนอาจลืมไปว่า.. ยังไงๆ เขาก็เป็น "คนอื่น" ยังไงๆ เขาก็มีหัวใจคนละดวงกับของเรา สมองคนละก้อน ตัดสินใจได้เอง รู้สึกได้เอง ว่าจะรัก จะเลิก จะอยู่หรือจะไปและเพื่อพรากจากกันในที่สุด ไม่ช้าก็เร็ว เราก็จะทำใจ และปล่อยวางได้ โดยไม่ต้องการคำอธิบาย หรือตรรกะเหตุผลอะไรมากมาย 

คิดเสียว่าเขาตายจากชีวิตเราไปแล้ว คนที่เคยเป็นคนรักแสนดีของเรา เขาไม่อยู่ในโลกของเราแล้ว ...เพราะมันมีแต่ในหนังแฟรงเก้นสไตน์ 


เราก็เลือกได้เหมือนกัน ว่าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ หรือ จมปลักในทุกข์นี้ต่อไป 


เพราะถึงเราจะร้องจนน้ำท่วมทุ่งกุลาร้องไห้ ก็ไม่ทำให้อะไรๆกลับมา เหมือนเดิม 





มองไปรอบๆ  ตัวของเราท่านๆ  ดูสิว่า มีคนเก่งๆ (Highly Intelligence)  จำนวนมากน้อยเพียงไรในสังคม ครอบครัวหรือที่ทำงานของเรา บางครั้งเราเองก็คงแอบคิด(หรือคิดดังๆ)อยู่เหมือนกันว่า เราก็เป็นคนเก่งคนหนึ่งหากเราพิจารณาให้ลึกลงไปอีกเราก็จะพบว่าคนเก่งๆ ของเราบางท่าน  ก็ไม่สามารถประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน  รวมไปถึงความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ในบางกรณีอาจจะหนักข้อไปถึง  การถูกคนรอบข้างมองว่าเป็นคนเผด็จการ  ไม่ฟังความคิดเห็นของผู้อื่นเอาเสียเลย

Edward Buono ได้อธิบายกับดักของคนเก่ง หรือ Intelligence Trap ไว้อย่างแยบยลในหนังสือชื่อ Thinking Course  Buono ได้เปรียบเปรยว่า ความฉลาดของคนเปรียบเสมือนแรงม้าของรถยนต์   (Horse power) แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามประสิทธิภาพของรถยนต์คันนั้นๆไม่ได้ขึ้นกับแรงม้าแต่กลับขึ้นอยู่กับความสามารถในการขับขี่รถยนต์ (Driving Skill) ของแต่ละบุคคล  ความหมายที่แท้จริงที่เขาหมายถึง ณ ที่นี้คือ เมื่อคุณมีความฉลาดแล้ว   คุณยังจำเป็นที่จะต้องมีความสามารถในการคิด  (Thinking Skill) ซึ่งจะนำมาถึงการทำงานที่ประสบความสำเร็จหรือประสิทธิภาพที่ดี  ของผลงาน  มีข้อสรุป 2 ข้อ  ที่น่าสนใจดังนี้



ข้อแรกถ้าหากว่าเรามีรถยนต์ที่มีแรงม้าที่ดีอยู่แล้ว  เราต้องพัฒนาความสามารถ ในการขับขี่ของเราให้ดี  โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับรถที่มีแรงม้าแรงๆ   หากผู้ขับขี่ขาดทักษะในการขับรถนั้น  จะเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อตนเองและผู้อื่น   เปรียบเทียบไปก็ไม่แตกต่าง กับคนที่เกิดมาพร้อมกับมันสมองอันชาญฉลาด   แต่ขาดทักษะในการคิดเขาอาจจะไม่สามารถมีโอกาสได้ใช้ความฉลาดของเขาได้อย่างเต็มที่

ข้อ 2หากว่าเราบังเอิญมีรถยนต์ที่มีแรงม้าต่ำ  เราจะทำอย่างไร เหมือนกันกับความสามารถทางมันสมอง (IQ) ซึ่งขึ้นอยู่กับพันธุกรรมมากกว่าอย่างอื่น uono เสนอว่าในกรณีนี้ ความจำเป็นในการพัฒนาทักษะทางความคิด(Thinking Skill) มีความจำเป็นอย่างมาก

Buono ยังสรุปต่อไปว่า จากประสบการณ์และงานวิจัยของเขากว่า 25 ปี พบว่า  คนจำนวนมากที่คิดว่าตนเองเป็นคนที่มีความฉลาดสูง  (Highly Intelligence)  ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่มีทักษะทางการคิดที่ดี  มีเหตุผลที่สำคัญ 2 ประการที่เขาได้อธิบายไว้ได้อย่างน่าสนใจดังนี้

- คนที่คิดว่าตนฉลาดนั้น  มักจะมีมุมมองของตนเองในการ  มองเรื่องราวต่างๆ  และใช้ความฉลาดของตนอธิบายมุมมองของตนเอง ยิ่งคนๆนั้นฉลาดมากขึ้นเท่าไร  เขาก็ยิ่งอธิบายมันได้ดีมากขึ้นเท่านั้น และนั่นหมายความว่าคนๆ   นี้จะยิ่งเข้าใจผิดๆว่า  ไม่มีใครคิดหรือตัดสินใจได้ดีกว่าตนเองและหากนานเข้า เขาก็จะเริ่มไม่เห็นความสำคัญที่จะต้องสอบถามหาความคิดเห็นของคนอื่นๆ(ก็ในเมื่อคิดเอาเองว่า ตนเองคิดได้ดีที่สุดอยู่แล้ว  แล้วทำไมต้องพยายามหาความคิดเห็นที่ต่างออกไปเล่า)

- ที่มากไปกว่านั้น คนที่คิดว่าตนเองเก่งกว่าคนอื่นๆ นั้นก็จะพยายามหาวิธีที่เขาจะสามารถใช้ความฉลาดของตนเองให้ได้มากที่สุด  ดังนั้นเขาจะพยายามเสาะแสวงหา   วิธีการที่เร็วที่สุดเข้าสู่ความต้องการของตนเอง(ที่คิดว่าถูกต้อง)  โดยการบอกว่าคนอื่นๆ คิดผิดหรือหาวิธีการพิสูจน์ว่าคนอื่นๆคิดผิด เพื่อจะให้คนอื่นๆรอบตัวเห็นด้วย กับวิธีคิดของตนเองภายในระยะเวลาอันสั้น

หากคนเก่งของเรา  ยังไม่รู้ตัวว่าเขาหรือเธอติดกับดักความเก่งของตัวเองเสียแล้ว  มันก็ยากยิ่งนักที่จะออกมาจากกับดักได้โดย เฉพาะอย่างยิ่ง  สำหรับคนที่มีตำแหน่งเป็นผู้บริหารระดับกลางหรือสูง  เขาจะสร้างความลำบากใจให้เพื่อนร่วมงาน  เนื่องจากว่า เอาแต่ความคิดตัวเองเป็นใหญ่จะทำการใดก็อาจจะสำเร็จได้ยากเพราะคนอื่นรอบตัวก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ที่มีความคิดเห็นและก็คงอยากได้โอกาสได้แสดงออกถึงความคิดของตนเองเช่นเดียวกัน  ที่นอกเหนือไปจากนี้ลูกน้องของคนที่ติดกับดักแบบนี้  ก็จะรู้สึกว่ามีเจ้านายที่เผด็จ  การลูกน้องของเขาอาจเริ่มต้นด้วยการพยายามจะแสดงความคิดเห็น  แต่กาลเวลาผ่านไป  เขาย่อมเรียนรู้ว่าพูดไปไร้ประโยชน์  เจ้านายไม่ชอบให้คิดก็จะเริ่มหยุดคิดทีละน้อย  ทีละน้อย จนสุดท้ายก็พาลไม่คิดเสียเลย ลูกน้องบางคนอาจจะถึงกับลาออกและที่สำคัญเราจะหาคนที่จะพยายามบอกเขาหรือเธอให้เข้าใจถึง กับดักที่เขาติดอยู่ก็ดูว่าจะยากยิ่ง ยิ่งกว่า...



Credit : Blog Oknation